ไอเอ็นจีรับปากคลังไม่ขายหุ้นทหารไทย

"ยักษ์สีส้ม"จากเนเธอแลนด์รับปากคลังไม่ทิ้งแบงก์ทหารไทย
ตำแหน่งประธานบอร์ดรอ"สถิตย์"เสนอรายชื่อให้กรณ์อนุมัติ
ประกาศขายหุ้นทหารไทยออก หลังหมดโครงการ 14 สิงหาคม ราคาไม่ต่ำกว่า 1.60
บาท ด้าน"ราเจซ"จากไอเอ็นจี ยันบริษัทแม่ปรับโครงสร้างไม่กระทบลงทุนไทย
พร้อมแยกธุรกิจประกันออกจากแบงก์เข้าตลาดหุ้น ขายนักลงทุนทั่วโลก

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าไอเอ็นจีกรุ๊ป จากเนเธอร์แลนด์
ยืนยันว่าจะยังคงถือหุ้นแบงก์ทหารไทยต่อไป
และไม่มีแผนที่จะถอนการลงทุนออกไปในขณะนี้
ส่วนตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ทหารไทย ขณะที่นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์
ปลัดกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้เสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้
นายกรณ์
กล่าวว่าพร้อมรับข้อเสนอของนักลงทุนที่สนใจที่จะซื้อหุ้นแบงก์ทหารไทยทุกราย
เนื่องจากคลังไม่มีนโยบายที่จะถือหุ้นแบงก์พาณิชย์เอกชน
ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าไปช่วยเพิ่มเงินกองทุนให้กับแบงก์ในโครงการ 14
สิงหาคม และจะครบกำหนดในปี 2553 นี้

โดยหุ้นบุริมสิทธิในส่วนของกระทรวงการคลังที่ถืออยู่ จะแปลงเป็นหุ้นสามัญ
ส่งผลให้แบงก์ทหารไทยสามารถที่จะลดพาร์ล้างขาดทุนสะสมได้

ส่วนราคาหุ้นแบงก์ทหารไทย ที่คลังจะขายต้องไม่ต่ำกว่า 1.60 บาท
ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่ขายให้กลุ่มไอเอ็นจีกรุ๊ป
ในกรณีที่สถาบันการเงินจากเนเธอแลนด์รายนี้ไม่ต้องการซื้อหุ้นเพิ่มจากคลัง

ด้านนายราเจซ เสฐฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ไอเอ็นจีประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า
ไอเอ็นจีกรุ๊ปยังเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง
และยังคงมูลค่าธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยต่อไป
แม้ว่าบริษัทแม่มีแผนที่จะแยกธุรกิจประกันชีวิตออกจากธุรกิจธนาคารในอีก 4
ปีข้างหน้า
โดยในส่วนธุรกิจจัดการกองทุน(บลจ.)นั้นจะอยู่ภายใต้ธุรกิจประกันชีวิต

โดยในวันที่ 25 พ.ย.ไอเอ็นจีกรุ๊ปจะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นใหญ่
เพื่อขอมติอนุมัติการปรับโครงสร้างดังกล่าว
ซึ่งหลังจากผ่านมติที่ประชุมแล้ว
ไอเอ็นจีกรุ๊ปจะดำเนินการแยกธุรกิจประกันชีวิตและธนาคารออกจากกัน
รวมทั้งการเพิ่มทุนโดยการออกตราสิทธิ์จำนวน 7,500 ล้านยูโร
เพื่อชำระหนี้ให้กับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จำนวน 5,000
ล้านยูโรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ในเดือน ม.ค.53

"เงินในส่วนที่เหลืออีก 2,500 ล้านยูโรและหนี้ที่เหลืออีก 5,000 ล้าน
ยูโรนั้น จะโอนเป็นของแบงก์ในทันที
เพื่อให้แบงก์เป็นผู้ดำเนินการชำระต่อไป
ส่วนธุรกิจประกันนั้นจะถือว่าเป็นธุรกิจที่ปลอดหนี้
สร้างความแข็งแข่งให้กับธุรกิจ เพื่อรอการขายต่อไป"

สำหรับธุรกิจประกันชีวิตยังต้องรอการพิจารณาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่
ที่จะดำเนินการหลังจากการแยกธุรกิจออกจากกันเรียบร้อยแล้ว
โดยมีทางเลือกแรกคือการกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อจำหน่ายหุ้นให้กับ
ประชาชน(IPO)
หากกรณีนี้สามารถทำได้สำเร็จก็จะมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แยกออกไป
หากไม่สำเร็จ
ทางเลือกต่อไปคือการจำหน่ายหุ้นให้กับนักลงทุนระดับโลกรายใหญ่
เพื่อเข้ามาซื้อธุรกิจประกันชีวิตทั่วโลก

สาเหตุที่บริษัทแม่ตัดสินใจขายธุรกิจประกันชีวิตแม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่
สามารถสร้าง รายได้ให้มากกว่าแบงก์ โดยสัดส่วนกำไรที่มาจากแบงก์อยู่ที่
250 ล้านยูโร ประกันชีวิต 500 ล้าน ยูโร
เนื่องจากแนวโน้มที่สถาบันการเงินต้องมีขนาดเล็กลง
เป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นแล้วว่า
สถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่เกินไป จะมีความเสี่ยงสูงที่จะธุรกิจจะล่ม
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ธุรกิจล่ม จึงต้องขายบางธุรกิจออกไป

"เมื่อพิจารณาแล้วเชื่อว่ายังไม่มีผลกระทบใดๆ
ในทันทีต่อไอเอ็นจีในประเทศไทยทั้งพนักงานตัวแทนและลูกค้า
แต่หลังจากการแยกธุรกิจเสร็จสิ้นแล้ว
คงต้องมาดูอีกทีว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นจะเป็นอย่างไร
เชื่อว่าสิ่งที่เราได้พยายามชี้แจงข้อมูลให้กับลูกค้าและตัวแทน
มีความชัดเจน เนื่องจากธุรกิจของไอเอ็นจียังคงดำเนินอย่างเป็นปกติต่อไป"

ทั้งนี้ ไอเอ็นจีกรุ๊ปยังคงเป็นถือหุ้นใหญ่ของธนาคารทหารไทย(TMB) ต่อไป
โครงสร้างยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่การซื้อหุ้น TMB
เพิ่มเติมจากกระทรวงการคลังในส่วนที่เหลืออยู่นั้น
คงต้องรอความชัดเจนจากไอเอ็นจีกรุ๊ปว่าจะดำเนินงานต่อไปอย่างไรและ
TMBยังคงเป็นผู้จำหน่ายในช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ให้กับไอเอ็นจีประกันชีวิต
อยู่เหมือนเดิม

นายราเจซ กล่าวยอมรับว่า
บริษัทได้รับผลกระทบหลังจากที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้สูญเสียสัดส่วนการ
ตลาดในช่องทางตัวแทนไปบางส่วน
แต่สัดส่วนได้เพิ่มขึ้นในช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์
โดยภาพรวมแล้วบริษัทยังมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ณ สิ้นเดือน
ส.ค.เบี้ยประกันรับปีแรกเติบโต 26.9%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 4.7% อยู่ในอันดับที่ 8
ขยับขึ้นจากอันดับ 9 ในปี 51

ในช่วงไตรมาส 4/52
บริษัทเตรียมโปรแกรมกระตุ้นยอดขายในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย
ทั้งส่วนของช่องทางตัวแทนและแบงก์แอสชัวรันส์
และหวังว่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ในช่วงสุดท้ายของ อย่างไรก็ตาม
การปรับโครงสร้างดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อยอดขายในไตรมาส 4
ของบริษัทอย่างแน่นอน

ส่วนนายบุญทักษ์ หวังเจริญ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)หรือ TMB กล่าวว่า
การที่กลุ่ม ING ประกาศผลปรับโครงสร้างองค์กร
โดยแยกธุรกิจประกันออกจากธุรกิจสถาบันการเงิน
ซึ่งในความเห็นส่วนตัวนั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการทำธุรกิจของธนาคาร
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของธุรกิจประกัน หรือ ธุรกิจของธนาคาร เพราะทางกลุ่ม
ING มีนโยบายชัดเจนว่าจะยังคงธุรกิจประกันภัยในแถบเอเชีย
โดยเฉพาะประเทศไทยและอินเดีย

"ไม่กระทบธนาคารแต่อย่างใด
ซึ่งแผนการดำเนินงานในปี 2553 ยังอยู่ระหว่างการวางแผน
ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของเงินฝาก การเติบโตของสินเชื่อ
โดยเชื่อว่าการแข่งขันจะกลับมารุนแรงเหมือนเดิม
เพราะธนาคารแต่ละแห่งก็ต้องการเสนอบริการให้กับลูกค้ากันทั้งนั้น
เพื่อหวังรักษาฐานและต่อยอดธุรกิจให้มีการเติบโตต่อไป"นายบุญทักษ์ กล่าว


สำหรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารธนาคารทหารไทยนั้น นายบุญทักษ์
กล่าวว่า ในวันที่ 12 พ.ย. 2552 จะมีการประชุมบอร์ดธนาคาร
ซึ่งจะมีวาระการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหารธนาคารทหารไทยด้วย
แต่จะเป็นใคร และเป็นตัวแทนมาจากทางไหน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง หรือ
ING ไม่สามารถตอบได้ วันที่ 29 ต.ค. 2552

http://www.norsorpor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/t1741718/%E4%CD%E0%CD%E7%B9%A8%D5%C3%D1%BA%BB%D2%A1%A4%C5%D1%A7%E4%C1%E8%A2%D2%C2%CB%D8%E9%B9%B7%CB%D2%C3%E4%B7%C2